ชีวิตคือการต่อสู้...งั้นหรือ นั่นมันชีวิตของคนอื่น ส่วนชีวิตฉันไม่เคยคิดจะไปต่อสู้หรือแข่งขันกับใคร แต่บางครั้งมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ตาม
จะไม่ให้คิดแบบนี้ได้อย่างไร เริ่มตั้งแต่ลืมตาดูโลก ในวันที่ 11 มกราคม 2528 ผ่านมากี่ปีแล้วก็บวกลบกันเอง ก็ต้องต่อสู้ซะแล้ว ต่อสู้กับอะไร ถ้าจะเรียกว่าต่อสู้ก็คงไม่เชิงน่าจะเรียกว่า "แข่ง" มากกว่า แข่งกับเวลานั่นเอง เวลาที่พ่อต้องรีบพาแม่ไปโรงพยาบาล ยังไม่ถึงกำหนดคลอดฉันก็อยากจะหมุดออกมาดูข้างนอกซะแล้ว จะไม่ให้พ่อต้องรีบได้อย่างไรในเมื่อบ้านอยู่กาฬสินธุ์ แต่แม่ไปฝากครรภ์ที่จังหวัดขอนแก่น และในที่สุดก็ไม่ทันค่ะ ฉันคลอดที่โรงพยาบาลยางตลาด ซึ่งเป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอของบ้านฉันเอง
เมื่อฉันลืมตาดูโลก ที่บ้านฉันเกิดความวุ่นวายกันใหญ่ เรื่องชื่อค่ะ แม่เล่าว่าที่บ้านทุ่มเถียงกันใหญ่ เรื่องชื่อ สุดท้าย ฉันก็มีชื่อว่า "สุกัญญา" ที่หมายถึง ผู้หญิงที่ดีงาม ฉันรู้สึกภูมิใจมากกับชื่อของฉัน แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าทำไมคนชื่อนี้เยอะแยะเต็มหมด(มันดูเกลื่อน) แต่ฉันก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนชื่อเลยนะ ฉันชอบชื่อนี้ ไม่ใช่เพราะมันไพเราะอะไรหรอก แต่เป็นเพราะเป็นชื่อที่คนที่รักฉันมากที่สุดตั้งให้ยังไงหละ ส่วนชีวิตในวัยเด็กของฉันก็ไม่แตกต่างกับเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ ที่ชอบเล่นขายของ เล่นกระโดดยาง (ถ้าสูง ๆ ไม่เคยจะได้กระโดดค่ะ มีคนอาสากระโดดให้ตลอด) เล่นซ่อนหา ฯลฯ อะไรที่เด็ก ๆ เขาเล่นกัน ฉันก็เล่นทั้งนั้น เรียบง่ายจริง ๆ
เมื่ออายุยังไม่ถึงเกณฑ์เข้าเรียน ฉันก็ไปโรงเรียนซะแล้ว ก็พ่อ แม่ เป็นครูค่ะ เลยได้เข้าเรียนก่อนใคร เรียนอนุบาลอยู่หลายปีทีเดียว คือแม่สอนอนุบาล แม่ก็ให้ไปเรียนด้วย แต่ไม่ยอมให้ขึ้นชั้นประถม เพราะเกิดเหตุการณ์ที่ฉันจำไปจนวันตาย ฉันว่า ฉันก็ไม่ได้เป็นเด็กดื้อ เด็กซนเลยนะ แต่อยู่ดี ดี ชั้นก็ขึ้นไปปีนหน้าต่างเล่นค่ะ ได้เรื่องทันที ตกหน้าต่าง(โชคยังดีแค่ชั้นหนึ่ง) ลงมานอนหงายอยู่บนทางเดิน แม้จะยังเป็นแค่เด็กอนุบาล แต่ฉันยังรู้สึกรักศักดิ์ของตนเอง ทำให้จิตไร้สำนึกของฉันสั่งให้ฉันพูดกับคนที่เดินผ่านมาเห็นฉันนอนอยู่ที่พื้นทางเดิน "มองทำไม ไม่มีอะไรซักหน่อย" แล้วก็ลุกขึ้นเดินค่ะ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้ง ๆ ที่รู้สึกเจ็บและอายมาก แต่พอเจอคนรู้จักเท่านั้นค่ะ ร้องไห้หาแม่ทันที หัวแตกนี่ค่ะ ทั้งเจ็บ ทั้งมึน ต้องนอนโรงพยาบาล ต้องสแกนสมอง และรักษาอีกมากมาย กว่าฉันจะรู้สึกว่าโลกมีแรงดึงดูดเท่าเดิม (ก็ตอนนั้นฉันเห็นโลกหมุนตลอดเวลา แถมยังไม่มีแรงยึดเหนี่ยวให้ฉันยืนตรง ๆ ได้อีกนี่นา) จากเหตุการณ์วันนั้นทำให้ฉันต้องเรียนอนุบาลรอเพื่อน ๆ ที่เกิดปีเดียวกันอยู่หลายปีทีเดียว เพราะแม่กลัวว่าฉันจะเรียนไม่ทันเพื่อน หลังจากที่สมองโดนกระทบกระเทือนในครั้งนั้น
เมื่อฉันอยู่ประถม ฉันก็มีความฝันเหมือนเด็ก ๆ พอเริ่มอ่านหนังสือได้ พ่อกับแม่ก็ซื้อหนังสือนิทาน หรือวรรณกรรมเยาวชน มาให้ฉันอ่าน ฉันชอบอ่านหนังสือมากและมันทำให้ฉันชอบจินตนาการไปตามหนังสือ ทำให้ความฝันแรกที่ฉันอยากเป็น คือ ฉันอยากเป็นแดร็กคูล่า ฉันชอบส่องกระจกดูว่า รอยที่คอของฉันต้องเป็นรอยที่โดนกัด(ฉันมีไฝสองเม็ดเรียงกันจนดูเหมือนรอยเขี้ยว) หรือยิงฟันดูว่าเคี้ยวยาวขึ้นหรือยัง(ฟันบน 2 ซี่ ของฉันมีรูปร่างผิดปกติที่ดูเหมือนเขี้ยว) มันช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ ฉันคิดว่า ฉันไม่ใช่เด็กประหลาดอะไร ใคร ๆ ก็ต้องมีสิ่งที่ตนประทับใจ เหมือนเด็ก ๆ บางคนยังอยากจะเป็นซุปเปอร์ฮีโร่เลย แค่ซุปเปอร์ฮีโร่ของฉันคือแดร็กคูล่าเท่านั้นเอง
อาชีพในฝันของฉันหละ คือ อาชีพอะไร แม้ปัจจุบันฉันจะมีอาชีพครู แต่ตอนเด็ก ๆ ฉันไม่เคยคิดอยากเป็นครูเลย ก็พ่อและแม่ของฉันเป็นครูทั้งสองคนและทำงานหนักมาก และฉันก็ไปโรงเรียนกับพ่อและแม่ตลอด ทำให้ไม่นึกอยากเป็นครูเอาซะเลย เมื่อคุณครูประจำชั้นป. 2 ของฉัน ได้ถามนักเรียนในห้องว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร (ฉันคงไม่ตอบหรอกว่าฉันอยากเป็นแดร็กคูล่า เพราะมันเป็นความลับที่รู้เฉพาะ ฉันและน้องสาวคนเดียวของฉัน) เพื่อน ๆ ก็ตอบกันไป บ้างก็อยากเป็นครู เป็นหมอ เป็นทหาร เป็นตำรวจ แล้วฉันหละ เด็กช่างจินตนาการอย่างฉันมีรึจะตอบเหมือนคนอื่น อาชีพที่ฉันใฝ่ฝัน คือ...นักบินอวกาศ ค่ะ เมื่อครูถามจนมาถึงฉัน ฉันก็ตอบด้วยความภาคภูมิใจว่า อยากเป็นนักบินอวกาศ ทุกคนในห้องต่างหันมามองหน้าฉัน แต่พวกเขาคงไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ เพราะกระเป๋าของฉันก็เป็นรูปนักบินอวกาศ รองเท้าก็มีรูปยานอวกาศเปรียบได้กับเด็กสมัยนี้ที่คลั่งไคล้เบนเท็นนั่นเอง
ชีวิตวัยเด็กของฉันผ่านไปแบบเด็กช่างฝันที่ชอบทำอะไรตามหนังสือที่ฉันอ่าน กล้าแสดงออกในสิ่งที่อยากทำ ทุกครั้งที่ครูให้มาสมัครร้องเพลง ฉันไม่อายที่จะเดินออกไปร้องเพลงให้ทุกคนฟัง แม้จะชอบหรือไม่ชอบเสียงของฉันก็ตาม แต่พอเข้าสู่วัยรุ่นกลับตรงกันข้าม ฉันกลายเป็นเด็กขี้อาย ชอบเก็บตัว ชอบอยู่กับตัวเอา ไม่อยากให้ใครมาสนใจ อยากใส่แว่นเพื่อจะได้เป็นเกราะที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าจะไม่มีใครมาวุ่นวายกับฉัน ในที่สุดความพยายามที่จะได้ใส่ของฉันก็สำเร็จ ฉันพยายามอ่านหนังสือจากโคมไฟหัวเตียง พยายามมองแสงไฟนาน ๆ จนในที่สุดฉันก็กลายเป็นคนแพ้แสงและสายตาสั้น ตอนนั้นฉันดีใจมาก แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกว่า ฉันคิดผิด เพราะโตขึ้นฉันไม่ชอบใส่แว่นเลย (ตอนนั้นยังไม่กลัวไม่สวย) ชีวิตในวัยรุ่นของอยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่ในโลกของฉัน แต่ก็ไม่ใช่จะไร้เพื่อน ฉันมีเพื่อน ๆ ดีดี มากมาย ที่เข้าใจฉัน และยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงทุกวันนี้
เรื่องนี้ของฉันยังมีตอนต่อไป...จากเด็กช่างจินตนาการ ชอบเก็บตัว พอเข้าสู้รั้วมหาวิทยาลัยและวัยทำงาน จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของฉัน จากชีวิตที่เหมือนวรรณกรรมเยาวชนสู่ละครน้ำเน่าช่อง 7 หน้ามือเป็นหลังมือโดยแท้ ถ้าจะเปรียบกับการมวย ก็เหมือนกับฟลายเวทสู่เฮฟวี่เวท เลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น